กิจกรรมที่ 1 คลังความรู้ คลังข้อสอบ

TCAS 

 Thai University Central Admission System


               TCAS หรือ Thai University Center Admission System เป็นระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเริ่มนำมาใช้ในปีการศึกษา 2561 เป็นระบบที่ออกแบบโดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)

TCAS มีขั้นตอนอย่างไร
ระบบ TCAS ที่ทาง ทปอ. ได้ประกาศออกมา มี 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. คัดเลือกโดยการส่งแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
ในรอบนี้จะพิจารณาจากผลงานของนักเรียนที่นำมาใส่ Portfolio ไม่มีการสอบข้อเขียน ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยจะคัดเลือกนักเรียนจำนวนหนึ่ง อาจจะมีกาสัมภาษณ์หรือทดสอบทักษะเฉพาะทาง โดยการคัดเลือกในรอบนี้เป็นแค่การ Pre-screening เท่านั้น
รอบที่ 1 : การรับด้วยแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) โดยไม่มีการสอบข้อเขียน
  • สำหรับ : นักเรียนทั่วไป นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ นักเรียนโควตา นักเรียนเครือข่าย
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก :
    • ครั้งที่ 1 : 1 ตุลาคม 2560 – 30 พฤศจิกายน 2560
      • ประกาศผล : 22 ธันวาคม 2560
    • ครั้งที่ 2 : 22 ธันวาคม 2560 – 28 กุมภาพันธ์ 2561
      • ประกาศผล : 26 มีนาคม 2561
2. สมัครโควตาแบบมีสอบข้อเขียน สำหรับนักเรียนในพื้นที่
ในรอบนี้จะเป็นการรับนักเรียนแบบโควตา สำหรับนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ หรือ รอบเขตการศึกษา ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด ในขั้นตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยสามารถจัดสอบเองได้เลย หรือจะใช้ข้อสอบส่วนกลาง อย่าง 9วิชาสามัญ หรือ GAT/PAT เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา
  • สำหรับ : นักเรียนที่อยู่ในเขตพื้นที่หรือภาค โควตาโรงเรียนในเครือข่าย และโครงการความสามารถพิเศษ
  • คะแนนที่ต้องใช้ยื่น : GAT/PAT, 9 วิชาสามัญ
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : ธันวาคม 2560 – เมษายน 2561
  • ประกาศผล : 8 พฤษภาคม 2561
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง
3. การรับตรงร่วมกัน
ในรอบนี้เป็นการสอบรับตรง ซึ่งโครงการรับตรงอย่าง กสพท. ก็รวมอยู่ในรอบนี้ด้วย โดยทาง ทปอ. จะเป็นส่วนกลางในการรับสมัครในรอบนี้ และทางมหาวิทยาลัยจะพิจารณาผลการคัดเลือก โดยผู้สมัครสามารถเลือกได้ 4 สาขาวิชา
  • สำหรับ : นักเรียนที่อยู่ในโครงการ กสพท. (กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย), โครงการอื่นๆ ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : 9 – 13 พฤษภาคม 2561
    • ประกาศผล : 8 มิถุนายน 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบและเลือกได้ 4 สาขาวิชา โดยไม่มีลำดับ หมายความว่า 4 สาขาวิชา หรือ 4 มหาวิทยาลัยที่สมัครไปนั้นน้องๆ มีโอกาสผ่านการคัดเลือกทั้งหมด.. (แล้วค่อยเลือกมหาวิทยาลัยที่ต้องการศึกษาต่อในเคลียริ่งเฮาส์ของรอบที่ 3 อีกครั้ง) ซึ่งที่จะมีการจัดสอบร่วมกันในเวลาเดียวกัน โดยแต่ละมหาวิทยาลัยเป็นคนกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกเอง
4. การรับ Admission
ในรอบนี้ยังคงใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกแบบ Admission โดยใช้องค์ประกอบของคะแนน อย่างเช่น GPAX, O-NET, GAT/PAT หรืออื่นๆ ซึ่งผู้สมัครสามารถเลือกได้ 4 สาขาวิชา
  • สำหรับ : นักเรียนทั่วไป
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : 6 – 10 มิถุนายน 2561
    • ประกาศผล : 13 กรฎาคม 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบและเลือกได้ 4 สาขาวิชา โดยมีลำดับ (เหมือนปีที่ผ่านมา)
5. การรับตรงแบบอิสระ
ทางมหาวิทยาลัยสามารถใช้เกณฑ์การสอบที่จัดขึ้นเอง หรือการสอบวิชาเฉพาะ และส่งผลการคัดเลือกให้ทาง ทปอ.
เหมือนหรือแตกต่าง?
  • สำหรับ : นักเรียนทั่วไป
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : ภายในเดือนกรกฎาคม 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบได้ตามความต้องการ โดยที่แต่ละมหาวิทยาลัยจะรับตรงด้วยวิธีการของมหาวิทยาลัยเอง
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง



ที่มา http://tcas.cupt.net/announce.php

cr. http://www.admissionpremium.com/uploads/contents/20170610112133.jpg

กำหนดการสอบ
  • สอบ GAT/PAT 24 – 27 กุมภาพันธ์ 2561
  • สอบ O-NET 3 – 4 มีนาคม 2561
  • สอบวิชาเฉพาะความถนัดแพทย์ 10 มีนาคม 2561
  • สอบวิชาสามัญ 9 วิชา 17 – 18 มีนาคม 2561
กำหนดการประกาศผลสอบ
  • ผลสอบ O-NET 3 เมษายน 2561
  • ผลสอบวิชาเฉพาะความถนัดแพทย์ 3 เมษายน 2561
  • ผลสอบ GAT/PAT 5 เมษายน 2561
  • ผลสอบวิชาสามัญ 9 วิชา 12 เมษายน 2561 
TCAS มีสถาบันอุดมศึกษาเข้าร่วมรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา จำนวน 65 แห่ง  รวมจำนวนรับทั้งสิ้น 278,644 คน โดยแยกเป็นการรับ (ข้อมูล ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2560) 
รอบที่ 1 จำนวน 78,951 คน 
รอบที่ 2 จำนวน 94,383 คน 
รอบที่ 3 จำนวน 61,617 คน 
รอบที่ 4 จำนวน 36,969 คน 
และรอบที่ 5 จำนวน 28,134 คน  


cr http://www.admissionpremium.com/uploads/contents/20170804102730.png


cr http://www.admissionpremium.com/uploads/contents/20170625162516.png





คลังข้อสอบ

onet 60

cr http://www.taladtutor.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/onet-2560-exam-answer/

แนวข้อสอบ
GAT PAT
เนื้อหาการสอบวิชาความถนัดทั่วไป (GAT) และความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (PAT) ประจำปีการศึกษา 2560
GAT ความถนัดทั่วไป จำนวน 60 ข้อ 300 คะแนน
ส่วนที่ 1 เชื่อมโยง 150 คะแนน

การอ่านเชิงวิเคราะห์การเขียนเชิงวิเคราะห์ การคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหา 
ส่วนที่ 2 การสื่อสารทางภาษาอังกฤษ 150 คะแนน
1) Speaking and Conversation
2) Vocabulary
3) Structure and Writing
4) Reading Comprehension 


PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์ จำนวน 45 ข้อ 300 คะแนน
1) ตรรกศาสตร์
2) เซต
3) ระบบจำนวนจริง
4) ความสัมพันธ์ และฟังก์ชัน
5) ฟังก์ชันตรีโกณมิติ
6) เรขาคณิตวิเคราะห์
7) ฟังก์ชันเอกซ์โปเนนเชียล และฟังก์ชันลอการิทึม
8) เมทริกซ์
9) เวกเตอร์
10) จำนวนเชิงซ้อน
11) กำหนดการเชิงเส้น
12) ลำดับและอนุกรม
13) แคลคูลัสเบื้องต้น
14) การเรียงสับเปลี่ยนและการจัดหมู่
15) ความน่าจะเป็น
16) การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
17) การแจกแจงปกติ
18) ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล


PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ จำนวน 100 ข้อ 300 คะแนน
1) สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
2) ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
3) สารและสมบัติของสาร
4) แรงและการเคลื่อนที่
5) พลังงาน
6) กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางโลก
7) ดาราศาสตร์และอวกาศ 



PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์ จำนวน 70 ข้อ 300 คะแนน
1) กลศาสตร์ (แรง มวล และการเคลื่อนที่)
2) ไฟฟ้า แม่เหล็กไฟฟ้า คลื่น แสง และเสียง
3) เคมี (สาร และสมบัติของสาร)
4) พลังงาน ความร้อน และของไหล
5) คณิตศาสตร์และสถิติประยุกต์เชิงวิศวกรรม 

แนวข้อสอบ PAT 3 ปี 2552 ชุดที่ 2

PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ จำนวน 33 ข้อ 300 คะแนน
1) ความรู้ทั่วไปด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม และการออกแบบ
2) ฟิสิกส์และคณิตศาสตร์พื้นฐาน

รวมข้อสอบเก่า PAT4 สทศ 8 ฉบับ

PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู จำนวน 120 ข้อ 300 คะแนน
1) ความรู้ทั่วไปในบริบทของความเป็นครู
2) สถานการณ์หรือปัญหาทั่วไป รวมทั้งเชิงนามธรรม 

รวมข้อสอบ PAT5 พร้อมเฉลย ปีการศึกษา 2552 – 2554

PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์ จำนวน 100 ข้อ 300 คะแนน
1) ทัศนศิลป์
2) ดนตรี
3) นาฏศิลป์ 

รวมข้อสอบ PAT6 พร้อมเฉลย ปีการศึกษา 2552 – 2554

PAT 7.1 ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส จำนวน 100 ข้อ 300 คะแนน
1) คำศัพท์พื้นฐาน (Lexique)
2) ไวยากรณ์และโครงสร้าง (Grammaire)
3) สำนวน (Expression)
4) วัฒนธรรมฝรั่งเศส (Culture)
5) การออกเสียง (Prononciation) 

(PAT 7.1) มีนาคม 2553

PAT 7.2 ความถนัดทางภาษาเยอรมัน จำนวน 100 ข้อ 300 คะแนน
1) ไวยากรณ์ (Grammatik) ระดับคำและระดับประโยค
2) คำศัพท์พื้นฐาน (Grundwortschatz) โดยแยกตามประเภท ของคำ รวมทั้งสำนวนที่ประกอบขึ้นจากคำนามและคำกริยา และสำนวนที่มีความหมายเฉพาะ

(PAT 7.2) มีนาคม 2553

PAT 7.3 ความถนัดทางภาษาญี่ปุ่น จำนวน 100 ข้อ 300 คะแนน
1) คำศัพท์ขั้นพื้นฐาน
2) คันจิขั้นพื้นฐาน
3) ไวยากรณ์ขั้นพื้นฐาน
4) สำนวนขั้นพื้นฐานทั่วไปในชีวิตประจำวัน
5) ญี่ปุ่นศึกษา 

(PAT 7.3) มีนาคม 2553

PAT 7.4 ความถนัดทางภาษาจีน จำนวน 100 ข้อ 300 คะแนน
1) คำศัพท์และสำนวน
2) ไวยากรณ์และโครงสร้าง
3) สัทอักษร
4) ความรู้ทั่วไป
5) อักษรจีน
6) การเขียน
7) การอ่าน
8) สนทนา 

รวมข้อสอบ PAT7.4 พร้อมเฉลย ปีการศึกษา 2552 – 2554

PAT 7.5 ความถนัดทางภาษาอาหรับ จำนวน 100 ข้อ 300 คะแนน
1) ไวยากรณ์
2) วัฒนธรรมการใช้ภาษาอาหรับ-ไทย
3) คำศัพท์
4) ความเข้าใจภาษา 

(PAT 7.5) มีนาคม 2553

PAT 7.6 ความถนัดทางภาษาบาลี จำนวน 100 ข้อ 300 คะแนน
1) คำศัพท์พื้นฐาน
2) ไวยากรณ์และโครงสร้าง
3) ความเข้าใจภาษา 









...................................................................................................................................................................

คลังความรู้เพิ่มเติม

ค่านิยม 12 ประการ

           นโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นโยบายนี้มีขึ้นเพื่อสร้างสรรค์ประเทศไทยและสร้างคนในชาติให้เข้มแข็ง


       เราเกิดมาบนผืนแผ่นดินไทยที่อุดมสมบูรณ์และมั่งคั่ง มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่อุทิศให้แก่ประชาชนอันเป็นที่รัก มีศาสนาพุทธซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจ และก็มีธงชาติที่ป่าวประกาศถึงสัญชาติของเรา 

ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม
       การที่เราเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเราให้เข้ากับคนอื่นหรือทัศนคติไปในทางที่ดีนั้นจะทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เข้าใจสิ่งต่างๆในแต่ละมุมมอง ซึ่งจะทำให้ข้อขัดแย้งและปัญหายุติลง 

กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ 
       บุญคุณของพ่อแม่นั้นใหญ่หลวงมาก ท่านทั้งสองให้กำเนิดเรามาในโลกอันกว่างใหญ่ เลี้ยงดูเราอย่างดีด้วยความรักและห่วงใย รวมทั้งผู้ปกครอง และคุณครูบาอาจารย์ที่ให้การศึกษาตั้งแต้่เล็กจนโต ซึ่งจะทำให้เราเติบใหญ่เป็นคนที่ดีในสังคม ดังนั้น เราควรตอบแทนบุญคุณของทุกท่านโดยประพฤติตัวให้ดี เข่น การเคารพหรืปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีอยู่ มีความับผิดชอบในหน้าที่ต่างๆ และไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม 
       การที่เราดำรงชีวิตประจำวันนั้น แน่นอนว่าเราต้องใช้ความรู้อยู่ตลอดเวลา ณ ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะฉะนั้นเราความไฝ่หาความรู้เพื่อให้ทันกลับโลกภายนอกที่หมุ่นอยู่ตลอกเวลา เราควรมีความเพียรพยายาม มุ่งมั่นในการศึกษาทั้งในและนอกโรงเรียน เช่น การใช้ตำราเรียน อินเตอร์เน็ตหรือสื่ออื่นๆที่สามารถค้นคว้าข้อมูลได้

รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม        ประชาชนชาวไทยควรที่จะภาคภูมิใจกับประเพณี ศิลปะอันงดงาม  และวัฒนธรรมอันดั่งเดิ่ม เช่น วันปีใหม่ของประเทศไทย สงกรานต์ ในขณะนี้ค่านิยมของตะวันตกนั้นเข้ามาและมีบทบาทมากกับการพูดจา กิริยาและการแต่งกาย ซึ่งทำให้ประเพณีอันงดงามนั้นถดถ่อยลง ด้วยเหตุนี้เราควรที่จะเป็นต้นแบบในการอนุรักษ์และสืบทอดให้ถึงรุ่นต่อไปเรียนรู้
มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น เผื่อแผ่และแบ่งปัน 
       การที่เราให้โดยไม่หวังผลตอบแทนนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐ การทำสิ่งต่างๆด้วยความหวังดี ถึงแม้ว่าผลลัพย์ที่เราจะได้คือความสุขเล็กๆน้อยๆ แต่เราก็จะได้มิตรสัมพันธ์ที่ดี ศีลธรรมก็เป็นข้อที่เราควรถือไว้ในใจ เช่นศีล๕ และการที่เราสื่อสัตย์ตลอดไม่ว่าจะทำอะไร จะทำให้เราเ็นคนดีในสังคม
เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง        การเป็นประชาธิปไตยนั้นเป็นระบบการบริหารอำนาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของพลเมือง โดยที่เรามีพระมหากษัตริย์เป็นประมุก ซึ่งเราควรเคารพพ่อหลวงเราด้วยใจรัก
มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่        ทุกวันนี้เรามักจะเห็นผู้คนแตกแยก หรือไม่ให้ควมเคารพกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการที่ไม่มีระเบียบในสังคม อย่างแรกต้องเริ่มที่ตัวเราเอง เราควรที่จะมีระเบียบวินัย เคารพกฏหมาย และเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ และสิ่งเหล่านี้จะเป็นต้นแบบให้อีกหลายๆคนเพื่อที่จะทำให้สังคนไทยนั้นเจริญ

มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
       สติเป็นสิ่งที่เราควรตระหนักอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะได้ทำสิ่งหนึ่งให้ดีที่สุด รวมถึงการคิดทบทวนให้รอบคอบ และมีความมุ้งมั่นตั้งใจในการทำงาน ผลลัพย์ที่ราจะได้ถ้าเราทำอะไรโดยมีสติคือความมำเร็จ

รู้จักดำรงตนอยู่โิดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่ายจำหน่าย และพร้อมที่จะขยายกิจการเมื่อมีความพร้อม เมื่อมีภูมิคุ้มกันที่ดี 
       การดำรงชีพนั้นอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่เราควรตระหนักอยู่ตลอกเวลา ดั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้คำสอนไว้เกี่ยวกับ
เศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งการที่เราต้องปรับเปลี่ยนตนให้เข้ากับคนอื่น และถ้าเราทำตามคำสอนของพ่อหลวง ชีวิตเราจะมีความสุขอยู่กับสิ่งที่เรามี

มีความเข้มแข็งทั้งร่างกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ หรือกิเลส มีความละอายเกรงกลัวต่อบาปตามหลักของศาสนา 
       การที่มีจิตใจอันแน้วแน่ จะไม่สั่นคลอนใดๆทั้งสิ้นถ้ามีอุปสรรค์หรือกิเลสผ่านเข้ามา ถ้าเราได้ผ่านสิ่งเหล่านี้มาป่อยครั้ง มันจะทำให้เราเข้มแข็ง เช่น เราไม่คควรดื่มสุราหรือสูบบุหรี่ถ้ามีคนชักชวน

คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง
       ในการดำเนินการสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น เราควรคำนึงถึงข้อดีและข้อเสีย แต่ไม่ใช้แค่คำนึงสำหรับตนเองแต่ควรคำนึงถึงผู้อื่นด้วย อีกทั้ง เราควรช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เช่นไปสอนหนังสือที่บ้านนเด็กกำพร้า หรือไปให้ความบันเทิงที่บ้านคนชรา เป็นต้น

สุดท้ายนี้ หวังว่าทุกคนคงเข้าใจและปฏบัติตาม
ค่านิยมของคนไทย ๑๒ ประการและช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้มั่นคงและเข้มแข็ง


https://khaniyom12.weebly.com/


23 หลักการทรงงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9


1. จะทำอะไรต้องศึกษาข้อมูลให้เป็นระบบ

ทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบจากข้อมูลเบื้องต้น ทั้งเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และราษฎรในพื้นที่ให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้อง เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ได้จริงอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และตรงตามเป้าหมาย

2. ระเบิดจากภายใน

จะทำการใดๆ ต้องเริ่มจากคนที่เกี่ยวข้องเสียก่อน ต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้เกิดความเข้าใจและอยากทำ ไม่ใช่การสั่งให้ทำ คนไม่เข้าใจก็อาจจะไม่ทำก็เป็นได้ ในการทำงานนั้นอาจจะต้องคุยหรือประชุมกับลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือคนในทีมเสียก่อน เพื่อให้ทราบถึงเป้าหมายและวิธีการต่อไป

3. แก้ปัญหาจากจุดเล็ก

ควรมองปัญหาภาพรวมก่อนเสมอ แต่เมื่อจะลงมือแก้ปัญหานั้น ควรมองในสิ่งที่คนมักจะมองข้าม แล้วเริ่มแก้ปัญหาจากจุดเล็กๆ เสียก่อน เมื่อสำเร็จแล้วจึงค่อยๆ ขยับขยายแก้ไปเรื่อยๆ ทีละจุด เราสามารถเอามาประยุกต์ใช้กับการทำงานได้ โดยมองไปที่เป้าหมายใหญ่ของงานแต่ละชิ้น แล้วเริ่มลงมือทำจากจุดเล็กๆ ก่อน ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ แก้ไปทีละจุด งานแต่ละชิ้นก็จะลุลวงไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้  “ถ้าปวดหัวคิดอะไรไม่ออก ก็ต้องแก้ไขการปวดหัวนี้ก่อน  มันไม่ได้แก้อาการจริง แต่ต้องแก้ปัญหาที่ทำให้เราปวดหัวให้ได้เสียก่อน เพื่อจะให้อยู่ในสภาพที่ดีได้…”

4. ทำตามลำดับขั้น

เริ่มต้นจากการลงมือทำในสิ่งที่จำเป็นก่อน เมื่อสำเร็จแล้วก็เริ่มลงมือสิ่งที่จำเป็นลำดับต่อไป ด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ถ้าทำตามหลักนี้ได้ งานทุกสิ่งก็จะสำเร็จได้โดยง่าย… ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเริ่มต้นจากสิ่งที่จำเป็นที่สุดของประชาชนเสียก่อน ได้แก่ สุขภาพสาธารณสุข จากนั้นจึงเป็นเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสิ่งจำเป็นในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค เน้นการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ราษฎรสามารถนำไปปฏิบัติได้ และเกิดประโยชน์สูงสุด “การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน ใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอสมควร สามารถปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยสร้างเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป…” พระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517

5. ภูมิสังคม ภูมิศาสตร์ สังคมศาสตร์

การพัฒนาใดๆ ต้องคำนึงถึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณนั้นว่าเป็นอย่างไร และสังคมวิทยาเกี่ยวกับลักษณะนิสัยใจคอคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกัน “การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ ในสังคมวิทยา คือนิสัยใจคอของคนเรา จะไปบังคับให้คนอื่นคิดอย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนำ เข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการของการพัฒนานี้ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง”

6. ทำงานแบบองค์รวม

ใช้วิธีคิดเพื่อการทำงาน โดยวิธีคิดอย่างองค์รวม คือการมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดอย่างเป็นระบบครบวงจร ทุกสิ่งทุกอย่างมีมิติเชื่อมต่อกัน มองสิ่งที่เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง

7. ไม่ติดตำรา

เมื่อเราจะทำการใดนั้น ควรทำงานอย่างยืดหยุ่นกับสภาพและสถานการณ์นั้นๆ ไม่ใช่การยึดติดอยู่กับแค่ในตำราวิชาการ เพราะบางที่ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด บางครั้งเรายึดติดทฤษฎีมากจนเกินไปจนทำอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่เราทำบางครั้งต้องโอบอ้อมต่อสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สังคม และจิตวิทยาด้วย

8. รู้จักประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด

ในการพัฒนาและช่วยเหลือราษฎร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงใช้หลักในการแก้ปัญหาด้วยความเรียบง่ายและประหยัด ราษฎรสามารถทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่นและประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในภูมิภาคนั้นมาแก้ไข ปรับปรุง โดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยีที่ยุ่งยากมากนัก ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “…ให้ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูกโดยปล่อยให้ขึ้นเองตามธรรมชาติจะได้ประหยัดงบประมาณ…”

9. ทำให้ง่าย

ทรงคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุงและแก้ไขงาน การพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดำริไปได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อนและที่สำคัญอย่างยิ่งคือ สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนและระบบนิเวศโดยรวม  “ทำให้ง่าย”

10. การมีส่วนร่วม

ทรงเป็นนักประชาธิปไตย ทรงเปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับได้มาร่วมแสดงความคิดเห็น “สำคัญที่สุดจะต้องหัดทำใจให้กว้างขวาง หนักแน่น รู้จักรับฟังความคิดเห็น แม้กระทั่งความวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นอย่างฉลาดนั้น แท้จริงคือ การระดมสติปัญญาละประสบการณ์อันหลากหลายมาอำนวยการปฏิบัติบริหารงานให้ประสบผลสำเร็จที่สมบูรณ์นั่นเอง”

11. ต้องยึดประโยชน์ส่วนรวม

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงระลึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “…ใครต่อใครบอกว่า ขอให้เสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม อันนี้ฟังจนเบื่อ อาจรำคาญด้วยซ้ำว่า ใครต่อใครมาก็บอกว่าขอให้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม อาจมานึกในใจว่า ให้ๆ อยู่เรื่อยแล้วส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้คิดว่าคนที่ให้เป็นเพื่อส่วนรวมนั้น มิได้ให้ส่วนรวมแต่อย่างเดียว เป็นการให้เพื่อตัวเองสามารถที่จะมีส่วนรวมที่จะอาศัยได้…”

12. บริการที่จุดเดียว

ทรงมีพระราชดำริมากว่า 20 ปีแล้ว ให้บริหารศูนย์ศึกษาการพัฒนาหลายแห่งทั่วประเทศโดยใช้หลักการ “การบริการรวมที่จุดเดียว : One Stop Service” โดยทรงเน้นเรื่องรู้รักสามัคคีและการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันด้วยการปรับลดช่องว่างระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

13. ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเข้าใจถึงธรรมชาติและต้องการให้ประชาชนใกล้ชิดกับทรัพยากรธรรมชาติ ทรงมองปัญหาธรรมชาติอย่างละเอียด โดยหากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือเราด้วย

14. ใช้อธรรมปราบอธรรม

ทรงนำความจริงในเรื่องธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการแนวทางปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงสภาวะที่ไม่ปกติเข้าสู่ระบบที่ปกติ เช่น การบำบัดน้ำเน่าเสียโดยให้ผักตบชวา ซึ่งมีตามธรรมชาติให้ดูดซึมสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำ

15. ปลูกป่าในใจคน

การจะทำการใดสำเร็จต้องปลูกจิตสำนึกของคนเสียก่อน ต้องให้เห็นคุณค่า เห็นประโยชน์กับสิ่งที่จะทำ…. “เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและจะรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง”

16. ขาดทุนคือกำไร

หลักการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่มีต่อพสกนิกรไทย “การให้” และ “การเสียสละ” เป็นการกระทำอันมีผลเป็นกำไร คือความอยู่ดีมีสุขของราษฎร

17. การพึ่งพาตนเอง

การพัฒนาตามแนวพระราชดำริ เพื่อการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้มีความแข็งแรงพอที่จะดำรงชีวิตได้ต่อไป แล้วขั้นต่อไปก็คือ การพัฒนาให้ประชาชนสามารถอยู่ในสังคมได้ตามสภาพแวดล้อมและสามารถ พึ่งตนเองได้ในที่สุด

18. พออยู่พอกิน

ให้ประชาชนสามารถอยู่อย่าง “พออยู่พอกิน” ให้ได้เสียก่อน แล้วจึงค่อยขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะที่ก้าวหน้าต่อไป

19. เศรษฐกิจพอเพียง

เป็นปรัชญาที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิต ให้ดำเนินไปบน “ทางสายกลาง” เพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ  ซึ่งปรัชญานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งระดับบุคคล องค์กร และชุมชน

20. ความซื่อสัตย์สุจริต จริงใจต่อกัน

ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อย ก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้ที่มีความรู้มาก แต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ

21. ทำงานอย่างมีความสุข

ทำงานต้องมีความสุขด้วย ถ้าเราทำอย่างไม่มีความสุขเราจะแพ้ แต่ถ้าเรามีความสุขเราจะชนะ สนุกกับการทำงานเพียงเท่านั้น ถือว่าเราชนะแล้ว หรือจะทำงานโดยคำนึงถึงความสุขที่เกิดจากการได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นก็สามารถทำได้ “…ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น…”

22. ความเพียร

การเริ่มต้นทำงานหรือทำสิ่งใดนั้นอาจจะไม่ได้มีความพร้อม ต้องอาศัยความอดทนและความมุ่งมั่น ดังเช่นพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” กษัตริย์ผู้เพียรพยายามแม้จะไม่เห็นฝั่งก็จะว่ายน้ำต่อไป เพราะถ้าไม่เพียรว่ายก็จะตกเป็นอาหารปู ปลาและไม่ได้พบกับเทวดาที่ช่วยเหลือมิให้จมน้ำ

23. รู้ รัก สามัคคี

  • รู้ คือ รู้ปัญหาและรู้วิธีแก้ปัญหานั้น
  • รัก คือ เมื่อเรารู้ถึงปัญหาและวิธีแก้แล้ว เราต้องมีความรัก ที่จะลงมือทำ ลงมือแก้ไขปัญหานั้น
  • สามัคคี คือ การแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่สามารถลงมือทำคนเดียวได้ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกัน



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ใบงานที่ 3 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์